สาขาอุตสาหกรรม
สถาบันอาหาร ได้ดำเนินการนำเมล็ดกัญชงและน้ำมันจากเมล็ดกัญชงมาทำการพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่ม ภายใต้กระบวนการผลิตอาหารปลอดภัย (Food safety) ตามประกาศของกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 425 พ.ศ. 2564 เรื่อง เมล็ดกัญชง น้ำมันจากเมล็ดกัญชง โปรตีนจากเมล็ดกัญชง และผลิตภัณฑ์อาหารที่มีส่วนประกอบของเมล็ดกัญชง น้ำมันจากเมล็ดกัญชง หรือโปรตีนจากเมล็ดกัญชง โดยดำเนินการทดลองพัฒนาต้นแบบผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่มจากเมล็ดและน้ำมันเมล็ดกัญชง จำนวน 6 ต้นแบบ โดยได้รับความร่วมมือจากสถาบันวิจัยพื้นที่สูง (องค์การมหาชน) ได้ส่งมอบเมล็ดกัญชงสายพันธุ์ RPF 3 ให้กับสถาบันอาหารเพื่อทำการทดลองพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่มจากเมล็ดกัญชง โดยได้ดำเนินการ ดังนี้
ผลิตภัณฑ์สแน็คบาร์ผสมเมล็ดกัญชงที่อุดมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการ ทั้งให้พลังงาน
มีสารอาหาร และแร่ธาตุที่จำเป็นต่อร่างกาย นอกจากนี้ ยังมีโปรตีนสูง มีกรดไขมันชนิดไม่อิ่มตัวที่ดีต่อสุขภาพได้แก่ โอเมก้า (Omega) 3 และ 6 เหมาะสำหรับผู้บริโภคที่ต้องการอาหารให้พลังงานจากธัญพืช หรือกลุ่มผู้สนใจรับประทานอาหารประเภท Plant Based Food ที่กำลังได้รับความนิยมในปัจจุบัน โดยผลิตภัณฑ์ สแน็คบาร์ผสมเมล็ดกัญชงผ่านกระบวนการขึ้นรูปและอบแห้งที่ทำให้ผลิตภัณฑ์มีอายุการเก็บไม่ต่ำกว่า
3-6 เดือน บรรจุในซองอะลูมิเนียมฟอยล์ขนาดบรรจุ 20-25 กรัมต่อชิ้น
ผลิตภัณฑ์มีการระบุฉลากแสดงคุณค่าทางโภชนาการที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายของผู้บริโภค รวมถึงการแสดงสัญลักษณ์ฉลาก GDA และข้อความคำเตือนตามข้อกำหนดของประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 425 พ.ศ. 2564 เรื่อง เมล็ดกัญชง น้ำมันจากเมล็ดกัญชง โปรตีนจากเมล็ดกัญชง และผลิตภัณฑ์อาหารที่มีส่วนประกอบของเมล็ดกัญชง น้ำมันจากเมล็ดกัญชง หรือโปรตีนจากเมล็ดกัญชง เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจของผู้บริโภค
Hemp meal ผลิตจากเมล็ดกัญชงที่ผ่านการกะเทาะเปลือกเพื่อให้ได้ Hemp meal ซึ่งเป็นส่วนที่มีปริมาณโปรตีนสูง โดยผลิตภัณฑ์ Hemp protein powder จะเป็นโปรตีนจากพืช 100% ซึ่งเป็นจุดเด่นของผลิตภัณฑ์โปรตีนจากเมล็ดกัญชงเมื่อเทียบกับเวย์โปรตีนที่ผลิตจากกลุ่มผลิตภัณฑ์นมที่มาจากสัตว์ ผลิตภัณฑ์ Hemp Protein powder เหมาะกับผู้บริโภคกลุ่มที่รับประทานอาหารประเภท Plant-based food และนักกีฬาที่ต้องการโปรตีนในการซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของกล้ามเนื้อหลังการออกกำลังกาย ผลิตภัณฑ์ Hemp protein powder ให้พลังงานเพียง 130 Kcal และให้โปรตีนสูงถึง 21 กรัม ต่อน้ำหนักสุทธิ 35 กรัม (หนึ่งหน่วยบริโภค) คิดเป็นปริมาณโปรตีนร้อยละ 60 จากการวัดค่าทางโภชนาการ พบว่า สามารถกล่าวอ้างได้ว่าเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารผสมโปรตีนเมล็ดกัญชงปราศจากคลอเรสเตอรอล
วัสดุของบรรจุภัณฑ์เลือกใช้ซองอลูมิเนียมฟอล์ย ขนาดบรรจุ 35 กรัม โดยบรรจุภัณฑ์จะมีคุณสมบัติป้องกันแสงและความชื้นเพื่อรักษาคุณภาพของผลิตภัณฑ์ให้มีอายุการเก็บอย่างน้อย 12 เดือน
ตลาดกัญชง/กัญชา (Cannabis) ในออสเตรเลีย ปี พ.ศ. 2563 มีมูลค่า 235.7 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และคาดการณ์ว่าจะขยายตัวในอัตราเติบโตเฉลี่ย (CAGR) ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2563 – 2569 อยู่ที่ 42.1% ต่อปี ซึ่งปัจจัยสำคัญที่ช่วยสนับสนุนให้ตลาดกัญชง/กัญชาเติบโตอย่างรวดเร็ว เนื่องจากมีการอนุญาตให้ใช้กัญชง/กัญชาได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย นอกจากนี้ออสเตรเลียยังเป็นประเทศแนวหน้าในการสนับสนุนให้สามารถใช้กัญชาได้อย่างถูกกฎหมายเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ในเอเชียแปซิฟิก
ตลาดผลิตภัณฑ์กัญชง/กัญชาที่ถูกกฎหมายในออสเตรเลีย แบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่ กัญชา (marijuana) และน้ำมันกัญชง (hemp oil) โดยกัญชาครองส่วนแบ่งตลาดมากถึง 71.3% ประกอบไปด้วย ช่อดอกและน้ำมัน นอกจากนี้ช่อดอกถือเป็นผลิตภัณฑ์หลักของตลาดนอกจากจะใช้สูบแล้วยังเป็นวัตถุดิบตั้งต้นในการผลิตผลิตภัณฑ์อื่นๆ อีกด้วย อย่างไรก็ตามผลิตภัณฑ์ในกลุ่มน้ำมันคาดว่าจะเติบโตอย่างรวดเร็วในช่วงปี พ.ศ. 2563 – 2569 เนื่องจากเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ในตลาดและเป็นการใช้ทางการแพทย์
ภาพที่ 1 ชนิดของการค้าผลิตภัณฑ์กัญชงในอิตาลี
กัญชงเป็นพืชที่ใช้ในผลิตภัณฑ์ได้หลากหลาย ทั้งอาหารและเครื่องดื่ม ผลิตภัณฑ์ดูแลร่างกายและเครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ผ้าและสิ่งทอ นอกจากนี้ เส้นด้ายและเส้นใยปั่น กระดาษ วัสดุก่อสร้างและฉนวน - การผลิตกัญชงจึงสามารถนำมาใช้เป็นเส้นใย เมล็ดพืช หรือใช้ช่อดอกเพื่อสกัดสารสำคัญ เมื่อพิจารณาการปลูกในระดับอุตสาหกรรมจะมีเป้าหมายหลักที่แตตก่างกันคือ เพื่อเมล็ดกัญชง น้ำมันเมล็ดกัญชง CBD และใยกัญชง การผลิตกัญชงได้เห็นการฟื้นตัวในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เพราะมีราคาสูง การปลูกกัญชงถูกผลักดันโดยความต้องการผลิต CBD เป็นหลัก โดยได้รับแรงหนุนหลักจากผลตอบแทนที่สูงจากการขายดอกกัญชงไปแปรรูปเป็น CBD (Cannabidiol)
สำหรับฤดูกาลการผลิตปี 2563 ใบอนุญาตเพาะปลูกกัญชงที่ได้รับอนุญาต 405,863 เอเคอร์ การปลูกเรือนกระจกพื้นที่ปลูก 93.2 ล้านตารางฟุต เกษตรกรในสหรัฐอเมริกาปลูกกัญชงน้อยกว่าปีที่ผ่านมา เป็นผลมาจากความไม่แน่นอนด้านกฎระเบียบ ดอกกัญชงและชีวมวลเกินดุลตั้งแต่ปี 2562 และราคาขายส่งที่ตกต่ำลงอย่างต่อเนื่อง พื้นที่ที่ได้รับใบอนุญาตนั้นลดลงเกือบ 20% จากปี 2562
10 รัฐที่ได้รับใบอนุญาตปลูกพื้นที่รวมมากที่สุด ได้แก่:
1. Colorado
2. Arizona
3. California
4. Kentucky
5. New York
6. Oregon
7. Illinois
8. North Carolina
9. Florida
10. Michigan
สำหรับการปลูกเพื่อการผลิตเมล็ดกัญชงในสหรัฐอเมริกามีมากที่สุดในสามรัฐ ได้แก่ อินเดียนา มอนแทนา และนอร์ทดาโคตา